มดลูกอักเสบ เป็นอาการที่ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงอายุ 15 – 45 ปี พบบ่อยในช่วงหลังมีประจำเดือน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและมีหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ในแต่ละรายมีอาการที่แตกต่างกันไป ดังนั้นหากสงสัยว่า ตนเองเข้าข่ายเป็นโรคนี้สามารถเช็คอาการมดลูกอักเสบและเตรียมตัวเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ป้องกันอาการลุกลามและภาวะแทรกซ้อน
เช็กอาการมดลูกอักเสบ
- ในคุณแม่หลังคลอด
- ปวดท้องมาก ปวดแบบหน่วง ๆ ร่วมกับการปวดเกร็ง เป็นระยะ รู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้มือกด
- หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย ไม่ควรปล่อยไว้นานอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากอาการเริ่มลามไปถึงเยื่อบุช่องท้อง
- มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส หลังคลอด 24 ชั่วโมง
- น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น ในกรณีนี้ต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย จึงจะสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเกิดการติดเชื้อ เพราะแบคทีเรียบางตัวที่ก่อให้เกิดโรคทำให้น้ำคาวปลาไม่มีกลิ่น และเป็นสีปกติ
- ตกขาวมีกลิ่น
- เสียชีวิต ในกรณีนี้พบได้น้อยมาก ซึ่งมีสาเหตุจากอาการมดลูกอักเสบอย่างรุนแรง เศษของเซลล์เนื้อที่ตายแล้วแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด จนเกิดฟองแก๊สอุดตันตามเส้นเลือด ในหัวใจและปอด
- พบได้ทั่วไปในผู้ที่มีภาวะมดลูกอักเสบ
- ไข้สูง
- กดเจ็บบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว)
- ตกขาวมีกลิ่น มีสีเทาหรือขาวปริมาณมาก
- ประจำเดือน น้ำคาวปลา มีกลิ่น
- ตัวซีด
- เกิดภาวะช็อก
- มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือในช่วงไม่มีประจำเดือน
- ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย หรือปวดขณะปัสสาวะ ในกรณีติดเชื้อหนองใน
- ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอด พบได้ในกรณีที่เกิดจากการทำแท้ง
การรักษาอาการมดลูกอักเสบ
- รักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ภายใน 48 ชั่วโมง (โดยส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์) หลังจากไข้ลดแพทย์จ่ายยาและรักษาตามอาการ เช่น ให้เลือด ให้น้ำเกลือ และสามารถกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านต่อได้ตามแพทย์เห็นสมควร
- ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ คลื่นไส้อาเจียน ไข้ไม่ลด มีถุงหนอง หรือกำลังตั้งครรภ์ ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด และรับยาประเภทฉีด
ใครบ้างที่เสี่ยงมีอาการมดลูกอักเสบ
บุคคลที่เสี่ยงมีอาการมดลูกอักเสบมากที่สุด มีดังนี้
- ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่อาจเป็นโรคหนองใน (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chamydia) หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- ผู้ที่คุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย Intrauterine Contraceptive Device เครื่องมือที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการใส่ หากอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐานและไม่สะอาด อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
- ผู้มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีความเสี่ยงติดเชื้อในมดลูกสูง เนื่องจากมดลูกยังไม่แข็งแรง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ในช่วงมีประจำเดือนของผู้หญิงมดลูกจะอ่อนแอกว่าปกติ บริเวณปากมดลูกเปิดเพื่อให้เยื่อบุโพรงมดลูกและเลือดออกมา เนื่องจากบริเวณโพรงมดลูกอยู่ในช่วงหลุดลอก ทำให้เชื้อมีโอกาสเข้าไปในมดลูก และติดเชื้อได้ง่าย
การป้องกัน
หากไม่อยากเผชิญกับอาการมดลูกอักเสบควรเปลี่ยนกิจวัตร ดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภายนอกที่ก่อให้เกิดอาการมดลูกอักเสบ
เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น น้ำยาสวนล้างช่องคลอด ผ้าอนามัยแบบสอด หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อป้องกันสภาวะในช่องคลอดเสียสมดุล
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
มดลูกอักเสบ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อให้เกิดโรค โดยส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ และหลีกการมีเพศสัมพันธ์กันผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหาร เป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลจากระบบภายใน เพื่อให้มดลูกแข็งแรงและอยู่ในสภาวะสมดุล หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่มีฮอร์โมนเพศหญิง อาจเพิ่มการอักเสบของมดลูก เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกตามมา
ข้อแนะนำ
ในระหว่างการรักษา ควรปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เพื่อให้กระบวนการรักษาเสร็จสิ้นโดยเร็ว
- งดมีเพศสัมพันธ์ 3-4 สัปดาห์ หรือจนกว่ามดลูกจะฟื้นตัวกลับมาแข็งแรง
- ผู้ที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรถอดห่วงออก และคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทน
- หากเกิดการอักเสบอันเนื่องมาจากโรคหนองใน ต้องทำการรักษาผู้ที่เป็นพาหะด้วย
- กินยาให้ครบตามแพทย์สั่ง
- ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะเอง เพราะยาที่ใช้อาจไม่ตรงกับเชื้อที่ติดและได้รับในปริมาณที่ไม่เหมาะสม
อาการมดลูกอักเสบ มีหลายระดับตั้งแต่ไม่รุนแรงจนถึงขั้นร้ายแรงถึงชีวิต ดังนั้นอย่าชะล่าใจคิดว่าไม่เป็นไร หากพบอาการผิดปกติใด ๆ ที่เข้าข่ายมดลูกอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนเชื้อลุกลาม